เจาะ5ประเด็น ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ต่อ เบิร์นลี่ย์ เมื่อวันที่ 21มกราคม2564

เจาะ5ประเด็น ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ต่อ เบิร์นลี่ย์ เมื่อวันที่ 21มกราคม2564

 

เจาะ5ประเด็น ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ต่อ เบิร์นลี่ย์ เมื่อวันที่ 21มกราคม2564

 

 

 

 

 เกมนี้กุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกดร็อปนักเตะหลายคน โดยเฉพาะแนวรุกที่ให้ ดิว็อค โอริกี้ กับ เซอร์ดาน ชากีรี่ ลงตัวจริง โดยที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นั่งสำรอง แม้ “ลิเวอร์พูล” จะครองเกมได้เหนือกว่าทีมเยือนอยู่หลายเท่า แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหาหลัก ก็คือ การจบสกอร์ที่ขาดความเฉียบคมแม่นยำอย่างสิ้นเชิง   และในวันนี้จะพาไปเปิดประเด็นสำคัญว่า ทำไมลิเวอร์ถึงพ่ายแพ้ต่อทีมเยือนอย่าง เบิร์นลี่ย์

 

1. สภาพจิตใจที่อ่อนแอ  ไร้ชัยในลีก 5 เกมติดต่อกัน

ตอนนี้ผู้จัดการทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องเรียกประชุมทีมงานอย่างด่วน เพื่อจัดหารแนวทางจะแก้ไขปัญหาการจบสกอร์ของทัพ “ลิเวอร์พูล” เพราะตอนนี้พวกเขายิงประตูคู่แข่งในลีกไม่ได้เลยในรอบ 4 แมตช์ติดต่อกันมานี้ และไร้ชัยชนะ 5 เกมรวด

    แมตช์นี้ “เดอะ เร้ดส์” มีครบทุกอย่างทั้งการครองเกมที่เหนือกว่า โอกาสในการยิงประตู รวมไปถึงยิงเข้าเป้า แต่สิ่งที่ขาดหายไปนั่นก็คือ “ประตู” ซึ่งตอนนี้คงต้องยอมรับแล้วว่า นี่คือปัญหาของทีมอย่างแท้จริง และหากแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ อาจจะมีลำดับที่ล่วงลงไปยิ่งกว่านี้

    เรื่องการจบสกอร์ต้องบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ คล็อปป์ ก็ยังงงจนถึงตอนนี้ว่าทำไมแนวรุกถึงไม่สามารถยิงประตูได้ ลองคิดถึงจังหวะท้ายเกมที่ ดิว็อค โอริกี้ หลุดเดี่ยว แต่ดันยิงไปชนคาน ซึ่งหากเป็นเมื่อ 2-3 ซีซั่นที่ผ่านมา จังหวะแบบนี้ใส่สกอร์นำได้เลย

ฉะนั้นเรื่องศักยภาพของนักเตะลิเวอร์พูล ไม่ใช่ปัญหา เพราะพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เหนือกว่าทุกอย่าง สร้างโอกาสได้มากมาย แต่ปัญหาที่แท้จริงก็คือสภาพจิตใจ พวกเขากำลังอยู่ในช่วงที่ขาดความมั่นใจอย่างมาก ในเกมนี้จะเห็นได้ชัดว่าเวลามีจังหวะเข้าทำ มักจะไม่กล้าเปิดเกมเร็ว ต้องรอหลายจังหวะกว่าจะส่ง จนทำให้ เบิร์นลี่ย์ กลับมาตั้งเกมรับได้ทัน

    การไร้ชัยชนะ 5 เกมติดต่อกันแถมแพ้ไป 2 แมตช์ และยิ่งไม่ได้ 4 เกมรวด นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นกับ หงส์แดง ในยุคกุนซืออย่าง คล็อปป์ ดังนั้นกัปตันทีมชาวเยอรมัน ต้องรีบหาจุดเปลี่ยนโดยด่วน ถ้าไม่อยากให้อันดับในตารางลีกร่วงไปยิ่งกว่านี้

 

2. โป๊ป นายทวาร  ฮีโร่คนสำคัญของเบิร์นลี่ย์

หลายคนอาจจะยกให้  แอชลี่ย์ บาร์นส์ เป็นฮีโร่ในเกมที่แอนฟิลด์ เพราะเขาเป็นคนเรียกจุดโทษและสังหารไม่เหลือชิ้นดี แต่หากมองผู้เล่นที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชัยชนะของ เบิร์นลี่ย์ นั่นก็คือ นิค โป๊ป  นั่นเอง

    ผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษ เคยเป็นฮีโร่ให้กับต้นสังกัดในเกมที่เสมอกัน 1-1 ในสนามแอนฟิลด์ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการหยุดสถิติการคว้าชัยชนะติดต่อกันของ “เดอะ เร้ดส์” ในบ้านเอาไว้ที่ 24 เกมเท่านั้น และมาครั้งนี้ ณ สถานที่แห่งเดิม โป๊ป ก็ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญที่ทำ 3 แต้มกลับบ้าน

จากสถิติเห็นได้ชัดว่า โป๊ป มีส่วนสำคัญกับชัยชนะของ เบิร์นลี่ย์ เป็นอย่างมาก โดยเขาเซฟบอลได้ถึง 6 ครั้ง โดยเฉพาะจังหวะสุดสำคัญที่โชว์ปฏิกิริยาที่รวดเร็วในการปัดบอลที่เสาใกล้จากจังหวะการยิงของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในช่วงครึ่งหลัง

    ในขณะเดียวกัน โป๊ป ยังแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำด้วยการตะโกนสั่งกองหลัง เพื่อให้ทีมสามารถจับทางการเล่นเกมบุกของเจ้าบ้าน  ในส่วนของความนิ่งต้องบอกเลยว่า นายทวารในวัย 28 ปี มีอนู่เต็มร้อย เขาไม่ได้รู้สึกกลัวในการโดนแนวรุก “ลิเวอร์พูล” บุกกระหน่ำ แถมยังมั่นใจในทุกจังหวะที่ออกมาตัดบอลด้วย 

     โป๊ป นี่แหละคือแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้ เพราะถึงยิงประตูไม่ได้เหมือนกองหน้า แต่การเซฟจังหวะสำคัญของเขา คือจุดเปลี่ยนที่นำมาสู่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในสนามแอนฟิลด์ 

 

3. มาติปฟอร์มไม่เคยตก, ความฟิตของเทรนต์ดร็อปลง !!!

 การได้ โฌแอล มาติป กลับมาประจำตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กคู่กับ ฟาบินโญ่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับผู้จัดการทีม “เดอะ ค็อป” ในเวลานี้ เพราะฟอร์มของ ดาวเตะชาวแคเมอรูน ถือว่าน่าประทับใจมาก ๆ ในการจัดการกับแนวรุกของเบิร์นลี่ย์

    มาติป ยืนตำแหน่งได้ดี มีความรวดเร็ว ป้องกันการเล่นสวนกลับของอาคันตุกะได้อยู่หมัด แถมยังมักจะพาบอลเข้าไปในแดนคู่แข่ง เพื่อที่จะช่วยเติมเกมรุกและกดดันแนวรับทีมเยือนอย่าง เบิร์นลี่ย์ 

    ส่วนหนึ่งในนักเตะที่ต้องโดนตำหนิมากเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพราะนับตั้งแต่ที่คลายล็อกดาวน์ ผลงานของ เขาไม่ค่อยโดดเด่นสักเท่าไหร่ ที่สำคัญในช่วงหลาย ๆ เกมที่ผ่านมา แบ็กขาวเลือดผู้ดี ไม่เหลือทีเด็ดทั้งการครองบอลที่แม่นยำ และการยิงฟรีคิกที่สุดเฉียบคม

เกมนี้ เทรนต์ มีโอกาสที่จะได้เปิดบอลนับสิบครั้ง แต่บทสรุปก็คือการเปิดไปติดกองหลัง หรือไม่อย่างนั้นก็เปิดแรงจนทีมเล่นไม่ได้ งานนี้ คล็อปป์ อาจจะต้องหาวิธีแก้ไข เพื่อให้ “เทรนต์” กลับมาอยู่ในฟอร์มสุดยอดอีกครั้ง

    หนึ่งในวิธีแก้ที่จำเป็นต้องนำมาใช้ ก็คือการดร็อปเขา และให้โอกาส เนโก วิลเลี่ยมส์ อย่างน้อย ๆ การที่ต้องเสียตำแหน่งตัวจริงไป น่าจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ต้องพยายามซ้อมหนักให้รีดฟอร์มเก่งกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งเป็นตัวสำรองยาวแน่ ๆ 

 

4. โรเตชั่นไม่สามารถพลิกเกมได้

 คล็อปป์ ตัดสินใจปรับเปลี่ยนหลายตำแหน่งในแมตช์นี้ เนื่องจากต้องการเพิ่มความหลากหลายในการเล่น เพื่อให้ เบิร์นลี่ย์ จับทางไม่ได้ หลังจากที่ผู้เล่นชุดเดิม ๆ ที่ถูกส่งลงสนามติดต่อกันหลายเกม โดนคู่แข่งอาจจะจับทางได้หมดแล้ว

    การใช้โรเตชั่น ไม่ได้ส่งผลต่อสิ่งที่ทุก ๆ คน นั้นคาดคิดเอาไว้อยู่แล้วในเกมนี้ เพราะยังไง “เดอะ เร้ดส์” ก็ยังคงสามารถครองเกมได้เหนือกว่า และพยายามที่จะกดดันใส่ เบิร์นลี่ย์ ตลอดทั้งเกม แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อทีมก็คือคุณภาพของผู้เล่นที่มีส่วนกับจังหวะสำคัญของ “ลิเวอร์พูล”

 หนึ่งในจังหวะที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของเกมนี้ ก็คือช่วงท้ายเกมครั้งแรกที่ เบน มี  เตะผิดเหลี่ยมตอนส่งคืนผู้รักษาประตู ทำให้ โอริกี้ แย่งบอลได้และลากเข้าไปดวลกับ โป๊ป ตัวต่อตัว แต่เขาดันยิงบอลไปชนคาน หากจังหวะนี้เป็นของ ซาลาห์ หรือ ฟีร์มีโน่ (ถูกดร็อปเป็นตัวสำรองทั้ง 2 คน) คงทำประตูได้แล้ว

    ดังนั้นการที่ กัปตันทีมเลือดด๊อยท์ช เลือกที่จะใช้ระบบโรเตชั่นในเกมนี้ เพราะแมตช์ต่อไปพวกเขาต้องทำศึก “แดงเดือด” นอกรอบ เยือน ปีศาจแดง ในเกม เอฟเอ คัพ อาจจะเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา

 

5. เบิร์นลี่ย์ทำลายสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์

 เบิร์นลี่ย์ คือทีมที่ทำให้ หงส์แดง ต้องหยุดสถิติคว้าชัยชนะในบ้านเอาไว้ที่ 24 เกม เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา และในฤดูกาลนี้พวกเขาก็ยังคงตามมาหลอกหลอนด้วยการทำลายสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2017 เรียบร้อยแล้ว

    “ลิเวอร์พูล” ที่สะกดคำว่า “แพ้” ไม่เป็นในเกมลีกที่เล่นในแอนฟิลด์ 68 แมตช์ ซึ่งเป็นการไร้พ่ายยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ในหน้าประวัติศาสตร์  แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ด้วยจังหวะจุดโทษของ บาร์นส์ 

    ในขณะที่ เบิร์นลี่ย์ ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ให้กับพวกเขาเช่นกัน ทั้งการยิงประตูทีมเยือนได้เม็ดแรก ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมปีที่แล้ว ขณะเดียวกันนี่ยังเป็นการชนะที่แอนฟิลด์ ในเกมลีกครั้งแรกของพวกเขานับตั้งแต่ปี 1974 แต่สิ่งสำคัญที่ทุก ๆ คนต้องจดจำไปอีกนานก็คือกัปตัน “เดอะคลาเรตส์” เป็นผู้บุกมาเปิดซิงไร้พ่ายของ ลิเวอร์พูล ที่ยืนยาวมานานกว่า 3 ปีได้สำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้นการพ่ายแพ้ในเกมนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อ ลิเวอร์พูล เพราะพวกเขาตามหลัง แมนยูฯ จ่าฝูง 6 แต้ม แถมยังสุ่มเสี่ยงที่จะโดนทั้ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ เอฟเวอร์ตัน ทำแต้มแซงขึ้นมาอยู่ท็อปโฟร์ด้วย

 งานนี้หากกุนซือ คล็อปป์ แอนด์โค. ยังแก้ปัญหาการเล่นของลูกทีมไม่ได้ สิ่งที่สาวก “เดอะ ค็อป” ไม่อยากเห็นก็คือ พวกเขาจะไม่ได้ตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า แน่นอน

 

เจาะ5ประเด็น ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ต่อ เบิร์นลี่ย์ เมื่อวันที่ 21มกราคม2564

 

แทงบอลออนไลน์

สมัครเว็บพนันออนไลน์