4 ปัจจัยหลักทำลิเวอร์พูลฟอร์มตก (แทบ)หมดลุ้นป้องกันแชมป์ลีก

4 ปัจจัยหลักทำลิเวอร์พูลฟอร์มตก (แทบ)หมดลุ้นป้องกันแชมป์ลีก

 

4 ปัจจัยหลักทำลิเวอร์พูลฟอร์มตก (แทบ)หมดลุ้นป้องกันแชมป์ลีก

 

4 ปัจจัยหลักทำลิเวอร์พูลฟอร์มตก (แทบ)หมดลุ้นป้องกันแชมป์ลีก

 

ลิเวอร์พูล ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่สุดๆ หลังจากเกมลีกผ่านไป 23 แมตช์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานเมื่อซีซั่นที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน พวกเขาทำแต้มได้น้อยกว่าถึง 16 คะแนน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” อย่างมาก
ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ “หงส์แดง” ยังรักษาฟอร์มยอดเยี่ยมเอาไว้ได้ แม้พวกเขาจะประสบปัญหานักเตะหลักได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ยังคงทำผลงานได้อย่างโดดเด่นรั้งจ่าฝูงมาตลอด จนกระทั่งเข้าสู่เดือนธันวาคม ฟอร์มก็ค่อยๆ สะดุดบ้าง แต่ยังประคับประคองไปได้

จนกระทั่งช่วงเดือนธันวา เป็นต้นผลงานของ “เดอะ เร้ดส์” ร่วงกราวรูดอย่างน่าใจหาย แม้ว่าจะฟื้นคืนชีพมาได้ 2 แมตช์ในเกมถลุง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แต่สุดท้ายฟอร์มก็กลับมาย่ำแย่อีกครั้งในเกมแพ้ ไบรท์ตัน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ตอนนี้พวกเขาแทบจะหมดลุ้นแชมป์ลีกไปแล้ว แถมท็อปโฟร์ก็ต้องลุ้นหนักเพราะโดน เชลซี กับ “เดอะ แฮมเมอร์ส” ไล่บี้เหลือแค่แต้มเดียวเท่านั้น

แล้วมีเหตุผลอะไรถึงทำให้ ลิเวอร์พูล ฟอร์มตกได้ขนาดนี้ งานนี้ต้องมาวิเคราะห์กัน
อาการบาดเจ็บรุมเร้า

ทุกๆ ทีมมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ แม้แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ต้องประสบกับปัญหานี้แต่ฟอร์มการเล่นของพวกเขายังคงติดลมบนทั้งๆ ที่ไม่มีจอมทัพอย่าง เควิด เดอ บรอย์น กับ เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ก็ตาม สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาต้องเสียเซนเตอร์แบ็กสำคัญอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ไปตั้งแต่ต้นซีซั่น หลังจากที่โดน จอร์แดน พิคฟอร์ด เข้าเสียบอย่างน่าเกลียดในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ซึ่งทำให้เขาอาจจะหมดสิทธิ์กลับมาช่วยทีมในฤดูกาลนี้ การมี ปราการหลังชาวดัตช์ คอยทำหน้าที่คุมเกมรับให้กับทีม ส่งผลให้ “เดอะ เร้ดส์” เสียประตูน้อยมาก ซึ่งเขาคือจิ๊กซอว์สุดท้ายที่นำสโมสรคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ฉะนั้นการที่ไม่มี ฟาน ไดค์ ถือเป็นเรื่องที่เสียหายอย่างยิ่งสำหรับ ลิเวอร์พูล “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ โจ โกเมซ ได้รับบาดเจ็บหนักในขณะที่ซ้อมกับทีมชาติอังกฤษ นี่ก็คืออีกหนึ่งความโชคร้ายของ “หงส์แดง” เพราะทีมเหลือเซนเตอร์แบ็กอาชีพแค่คนเดียวนั่นก็คือ โฌแอล มาติป เนื่องจากพวกเขาดันปล่อย เดยัน ลอฟเรน ออกไปในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

สภาพร่างกายไม่กระฉับกระเฉง

สไตล์การเล่นของลิเวอร์พูลภายใต้การกุมบังเหียนของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เต็มไปด้วยความดุดันราวกับพายุ บางคนยกให้เป็นเกมบุกแนวเฮฟวี่ เมทัล เพราะพวกเขามีสไตล์การเล่นที่วิ่งไม่มีหยุด ไล่กดดันคู่แข่งจนไม่มีเวลาที่จะได้ครองบอล

การเล่นฟุตแบบเกเก้นเพรสซิ่ง ที่เน้นแย่บอลกลับมาเล่นให้เร็วที่สุด และเปิดเกมบุกสวนกลับแบบสายฟ้าฟาด เป็นจุดเด่นของ “หงส์แดง” นับตั้งแต่ที่ คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียน และระบบแบบนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพร่างกาย หากเป็นซีซั่นปกติแน่นอนว่า ลิเวอร์พูล สามารถเล่นในสไตล์แบบนี้ได้อย่างสบายๆ เพราะ คล็อปป์ ได้เคี่ยวกรำลูกทีมจนตอนนี้ร่างกายของพวกเขาชินกับการเล่น “เกเก้นเพรสซิ่ง” ไปแล้ว แต่นี่คือฤดูกาลแห่งความบ้าคลั่งที่นักเตะลงเล่นถี่ยิบแบบสามวันต่อเกม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่เหล่าพลพรรค “เดอะ เร้ดส์” จะฟื้นสภาพร่างกายได้เร็ว

จริงๆ แล้ว คล็อปป์ อาจจะใช้การโรเตชั่นเพื่อให้ผู้เล่นสำรองได้ลงมาช่วยผู้เล่นหลัก แต่ด้วยการที่ทีมมีขุมกำลังเชิงลึกค่อนข้างด้อยกว่าพวก “ท็อปซิกซ์” กอปรกับนักเตะสำคัญโดนโรคเดี้ยงเล่นงานเข้าไปอีก งานนี้ก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะใช้การโรเตชั่นเข้ามาช่วยทีม ลองคิดดู โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ลงเล่นหลายเกมจนสุดท้ายฟอร์มสะดุ แถมบางคนยังได้รับบาดเจ็บ ส่วนจะส่งผู้เล่นคนอื่นลงไปแทนอย่าง โชต้า ก็ดันมาได้รับบาดเจ็บ พอใช้ เซอร์ดาน ชากีรี่ ก็เพิ่งจะฟิตสมบูรณ์ทำให้ฟอร์มไม่คงที่ ขณะที่ ดิว็อค โอริกี้ ไม่ต้องพูดถึง ไร้ประโยชน์สิ้นดี ต้องยอมรับว่าด้วยซีซั่นที่บ้าคลั่งแบบนี้ การมีขุมกำลังเชิงลึกที่ไม่สมบูรณ์ แถมยังมาเจอกับอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าผู้เล่นหลักพร้อมกัน แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างมากกับ ลิเวอร์พูล

กองกลางขาดการเล่นที่รวดเร็ว

วิกฤติกองหลังบาดเจ็บส่งผลกระทบอย่างแรงไปถึงแผงกองกลางของลิเวอร์พูล ด้วยเพราะนั่นทำให้ตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งสุดๆ ในลีกกลายเป็นจุดอ่อนทันที เพราะพวกเขาต้องใช้ 2 นักเตะหลักไปยืนเป็นเซนเตอร์แบ็กชั่วคราว ฟาบินโญ่ โดน คล็อปป์ จับไปเล่นเป็นปราการหลังตัวกลางนับตั้งแต่ที่ ฟาน ไดค์ ได้รับบาดเจ็บหนัก โดยเขาทำหน้าที่นี้ได้ดีไม่มีที่ติ แม้อาจจะมีจังหวะโฉ่งฉางไปบ้าง แต่สำหรับผู้เล่นแดนกลางที่ต้องมายืนเป็นเซนเตอร์แบ็กถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว

ขณะเดียวกัน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ต้องขยับลงมาทำหน้าที่บ้างในบางเกม ในกรณีที่ ฟาบินโญ่ เจ็บหรือ มาติป เดี้ยง แต่ในช่วงหลังๆ เขาต้องยืนเป็นเซนเตอร์แบ็กบ่อยๆ นั่นทำให้แผงกองกลางของ ลิเวอร์พูล ขาดประสิทธิภาพไปเยอะ ในเกมแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-4 ผู้เล่นทั้ง 2 คนต้องไปเยือนเป็นเซนเตอร์แบ็กแม้ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ได้ดี แต่มันส่งผลให้แผงมิดฟิลด์ของ “เดอะ เร้ดส์” อ่อนยวบไม่สามารถรับมือกับแดนกลางที่ดุดันของ “เรือใบสีฟ้า” ได้เลย

เป็นที่ทราบกันดีว่า ฟาบินโญ่ ทำหน้าที่ในตำแหน่งผู้เล่นเบอร์ 6 หรือโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ได้ดีเยี่ยม และเข้ากับสไตล์ของลิเวอร์พูลที่สามารถเปลี่ยนเกมรับให้เป็นเกมรุกแบบสายฟ้าฟาด โดยหน้าที่นี้เป็นของ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ซึ่งมักจะเน้นการครองบอลจนทำให้ทีมขาดความต่อเนื่องในการเล่นเกมบุก ในตอนนี้เกมรุกสไตล์คล็อปป์ ยังไม่สามารถปรับให้เข้ากับแนวทางการเล่นแบบนี้ได้ ในขณะเดียวกัน สตาร์ดังชาวสแปนิช ก็ยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งของเขาออกมาได้เมื่อต้องลงสนามด้วยระบบ 3 กองกลางของ “หงส์แดง”

เกมในบ้านย่ำแย่

แอนฟิลด์ไร้แฟนบอลแต่สโมสรอื่นๆ ก็เจอกับสถานการณ์แบบนี้เช่นกันจึงไม่สามารถนำมาเป็นข้ออ้างเรื่องฟอร์ร่วงกราวรูดได้ ที่สำคัญความย่ำแย่กับการเล่นในบ้านเพิ่งจะมาเกิดขึ้นนับตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา

ลิเวอร์พูล สามารถรับมือกับการที่พวกเขาไม่มีเสียงเชียร์ของเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” ตั้งแต่ที่เกมลีกกลับมาฟาดครั้งกันต่อเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และพวกเขายังสามารถรักษาสถิติไร้พ่ายเกมลีกในแอนฟิลด์ได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทุกอย่างจบสิ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ทุกๆ ทีมที่มาเยือน แอนฟิลด์ ต้องมีอาการขาสั่น แต่หลังจากที่สนามไร้คนดูตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บรรดาคู่แข่งที่มายังสนามแห่งนี้ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นอีกต่อไป

ลองคิดดูในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สถานการณ์จะเป็นยังไงเมื่อ “หงส์แดง” สามารถไล่ตีเสมอ 1-1 แน่นอนว่าแฟนบอลคงส่งเสียงกระตุ้นให้พวกเขาเดินหน้าไล่อัด “เรือใบสีฟ้า” ขณะที่คู่แข่งคงขวัญเสีย กระนั้นมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างเพราะทีมอื่นๆ ก็ต้องรับมือกับสถานการณ์แบบเดียวกัน

สำหรับตอนนี้ ลิเวอร์พูล แพ้คาบ้านตัวเองในเกมลีก 3 แมตช์ติดต่อกัน และไม่ชนะใครในลีกที่ แอนฟิลด์ 5 แมตช์ติดต่อกัน (เสมอ 2 แพ้ 3) ส่งผลให้ตอนนี้ “หงส์แดง” ตามหลัง แมนฯ ซิตี้จ่าฝูง ถึง 10 แต้ม และถ้าพวกเขาเก็บชัยในเกมตกค้างได้อีก นั่นหมายความว่าทีมจะโดนทิ้งห่างไปถึง 13 คะแนน

แล้วแบบนี้เรื่องการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกคงต้องเลิกคิดไปได้เลย

 

4 ปัจจัยหลักทำลิเวอร์พูลฟอร์มตก (แทบ)หมดลุ้นป้องกันแชมป์ลีก

 

แทงบอลออนไลน์คลิก!!
สมัครเว็บคาสิโนออนไลน์